นายชัยวัฒน์ เมธีวีรังสรรค์ ManagingDirector WMSL แนะวิธีเลือกกองทุน LTF/RMF ในงาน “LTF / RMF The Battle Day ยกสุดท้าย LTF / RMF กับWealthMagik” โดย แนะวิธีเลือกกองทุน LTF/RMF ให้เหมาะกับตัวเองพร้อมเสนอวิธีดูแลพอร์ต ลดความเสี่ยง บรรลุเป้าหมาย แบบไม่ง้อที่ปรึกษาการลงทุน
นายชัยวัฒน์เผยว่า การลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ให้มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เหมาะสมโดยสิ่งแรกที่ต้องทำก่อนลงทุน คือ
ต้องรู้จักตัวเอง
ไม่ว่าจะลงทุนอะไรก็ตามคือการทำแบบประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นแบบสอบถามทางจิตวิทยา (PsychometricQuestionnaire) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความเหมาะสมหรือความเข้ากันได้ของนักลงทุนต่อเรื่องที่สนใจนั้น ๆโดยอิงกับคุณลักษณะส่วนตัวความถนัด หรือศักยภาพเฉพาะด้าน
ที่กำหนดที่จะช่วยประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงในการลงทุนซึ่งแต่ละบุคคลที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ในระดับที่แตกต่างกัน
โดยในแบบสอบถามจะประกอบด้วยคำถามเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ความคาดหวังผลตอบแทน / ความแปรปรวน ประสบการณ์การลงทุน ระยะเวลาการลงทุนและอำนาจการคงอยู่
คำตอบของคำถามเหล่านี้จะนำไปสู่จุดที่รู้สึกว่าปลอดภัยในเรื่องความเสี่ยงหรือที่เรียกว่าRiskComfort Zone
การทำแบบประเมินความเสี่ยงนั้นแม้จะเป็นการประเมินเพื่อให้ทราบถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงเบื้องต้นและอาจจะมีความแตกต่างกับสถานการณ์เสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงแต่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยผลของการทดสอบไม่มีผิด หรือถูก ผ่านหรือไม่ผ่าน เป็นเพียงความเข้ากันได้ในแต่ละประเด็นที่สนใจเท่านั้น
นายชัยวัฒน์เน้นว่าจะต้องทำแบบสอบถามจากความรู้สึกของตัวเองโดยแนะนำให้อ่านแล้วตอบทันทีตามสัญชาตญาณ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังคิดเมื่อนั้นจะมีการเบี่ยงเบนข้อมูลเกิดขึ้น ทำให้ได้คำตอบที่ไกลจากความสามารถในการรับความเสี่ยงที่แท้จริง
“เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลงทุนประเภทกองทุนรวมได้”
ในกรณีผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงประเภทกองทุนรวมได้เมื่อทราบว่าตนเองสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับใดแล้วผู้ลงทุนจะสามารถนำระดับความเสี่ยงมาใช้ในการเลือกประเภทกองทุน ซึ่ง แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
– ประเภทตลาดเงินซึ่งมีผลตอบแทนต่ำแต่มีความเสี่ยงน้อย
– ประเภทตราสารหนี้มีผลตอบแทน และความเสี่ยงมากกว่าประเภทตลาดเงินแต่ต่ำกว่าประเภทตราสารทุน
– ประเภทตราสารทุนมีผลตอบแทนสูงกว่าประเภทตลาดเงิน กับประเภทตราสารหนี้และมีความเสี่ยงสูงกว่าทั้ง 2 ประเภทเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนประเภทใดก็ตามสิ่งสำคัญคือ ผู้ลงทุนควรจะถือครองกองทุนแต่ละประเภทให้นานเพียงพอและเหมาะสมกับช่วงเวลาเพื่อลดผลกระทบจากโอกาสขาดทุน
นายชัยวัฒน์ได้เปิดเผยข้อมูล จากการรวบรวมกองทุนทั้ง 3 ประเภทและคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดแต่ละประเภทมาทำการเปรียบเทียบกันพบว่า “การถือครองมีผลต่อการขาดทุน”
เมื่อนำมาพลอตเป็นกราฟเส้นเพื่อเปรียบเทียบพบว่ากองทุนแต่ละประเภทมีธรรมชาติที่แตกต่างกันที่เห็นได้ชัดเจนคือช่วงที่มีวิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2508 ที่มีวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนอย่างมาก และส่งผลกระทบในตลาดต่าง ๆ
เมื่อดูลักษณะของกราฟเส้นของกองทุนในช่วงนั้นกองทุนประเภทตลาดเงิน แทบไม่ได้รับผลกระทบจะสถานการณ์ดังกล่าวขณะที่กองทุนประเภทตราสารหนี้ติดลบเล็กน้อย และกองทุนประเภทตราสารทุนติดลบเกือบ 50%
ซึ่งจากเหตุการณ์ข้างต้นตลาดต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 22 เดือน กองทุนทั้ง 3 กองทุนจากทั้ง 3 ประเภท จึงกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงกลางปี 2556 – ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา แต่ดัชนีจะไม่ตกลงไม่มากเหมือนช่วงวิกฤตซับไพร์มแต่ตลาดอยู่ในระดับที่ต่ำนานถึง 4 ปีกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เมื่อสังเกตเส้นกราฟทั้ง3อีกครั้งหลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติจากทั้ง 2 เหตุการณ์แล้วพบว่า ทิศทางของเส้นกราฟของทั้ง 3 ประเภทมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย ประเภทกองทุนประเภท
ตราสารทุนฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้มากกว่าประเภทอื่น ๆ มากเกือบเท่าตัว ซึ่งสะท้อนว่า
ประเภทกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงย่อมมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงและการเลือกลงทุนในกองทุนแต่ละประเภทนั้นจะต้องอาศัยระยะเวลาที่เหมาะสมเข้ามาประกอบด้วย
แนวทางลดความเสี่ยงการลงทุนในกองทุนรวม
– ถือครองตามเวลาที่เหมาะสม
ผลตอบแทนที่ดีจะเกิดขึ้นเมื่อมีการถือครองกองทุนที่ยาวนานเพียงพอโดยจากการรวบรวมข้อมูลกองทุนของเว็ลธ์เมจิก สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่ากองทุนประเภทตราสารหนี้ควรถือครองให้ยาวกว่า 3 เดือน และประเภทตราสารทุนควรถือให้ยาวกว่า 12เดือน จึงจะลดความเสี่ยงขาดทุนลงได้
จากข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่าการรับความเสี่ยงในการลงทุนไม่ใช่เพียงแค่ สามารถยอมรับสภาวะขาดทุนในช่วงตลาดผันผวนเท่านั้นแต่ต้องสามารถอดทนถือครองกองทุนในระยะยาวแม้ในช่วงตลาดติดลบเพื่อให้กลับมาทำกำไรได้อีกครั้งซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการตัดสินใจขายออกทุกครั้งที่ตลาดผันผวน
– ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมคือการจัดพอร์ตกองทุน ที่ผสมผสานทรัพย์สินที่สวนทางกันเพื่อกระจายความเสี่ยงเมื่อตลาดใดตลาดหนึ่งผันผวน
ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางการเงินทั่วไปที่เมื่อมีการผสม 15-40 ตัว สามารถลดการขาดทุนได้ คือสามารถปรับสมดุลได้ โดยทำให้ความเสี่ยงลดลงผลตอบแทนเท่าเดิม
– ปรับพอร์ตสม่ำเสมอ ตามเวลาที่เหมาะสม
สิ่งที่สำคัญหลังการลงทุนควรมีการติดตามพอร์ตและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จากภาพนอกที่อาจส่งผลกระทบโดยแนะนำให้ปรับพอร์ต 1ครั้งต่อ 3 เดือนไม่ปรับพอร์ตถี่เกินไปเนื่องจากมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย
– รู้จังหวะในการถอนการลงทุน
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเข้าลงทุนคือการเลิก หรือถอนการลงทุน โดยนายชัยวัฒน์ เสนอการถอนตามแนวคิด Glide Path เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนโดยแนะนำว่าควรวางแผนถอนการลงทุน 3-5 ปีก่อนถึงเป้าหมาย
โดยต้องระวังการถอนการลงทุนแบบ ReverseDollar-Cost Averaging (Reverse DCA) (ค่อย ๆถอนเป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือน) เนื่องจาก DCA เหมาะกับการเข้าซื้อแต่ไม่เหมาะกับการถอนการลงทุน
การลงทุนกองทุนรวมซับซ้อนและความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง อย่างไรก็ตาม การลงทุนต้องอาศัยความรู้และเข้าใจสินทรัพย์ที่จะลงทุนก่อนโดยสามารถยึดหลัก5ขั้นมั่นใจลงทุนที่ว่า
1. ไม่รู้ ไม่ลงทุน
2. มีวินัยในการลงทุน
3. กระจายการลงทุน
4. ปรับพอร์ตสม่ำเสมอ
5. อดทน
รู้จักใช้ตัวช่วยในการลงทุน
ขณะเดียวกันปัจจุบันมีเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตนเอง
ตั้งแต่การเริ่มทำแบบประเมินความเสี่ยงค้นหากองทุนที่เหมาะสม ติดตามพอร์ต แนะนำการปรับพอร์ตตลอดจนหาจังหวะในการถอนการลงทุนได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
“ทุกขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น WealthMagik ช่วยได้ทั้งหมด” นายชัยวัฒน์ กล่าว
โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า WealthMagik มีการบริการตั้งแต่การเริ่มต้นรู้จักตัวเองก่อนลงทุนด้วยแบบประเมินความเสี่ยง IOS มีโปรแกรม My Plan ช่วยให้สามารถวางแผนการเงินด้วยตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการออมอย่างที่ต้องการซึ่งจะมีตัวช่วยและแนะนำในกรณีที่เงินออมในปัจจุบันของคุณยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
ซึ่งหากมีหลากหลายเป้าหมายเว็ลธ์เมจิกก็สามารถช่วยบริหารพอร์ตย่อยได้มากกว่าหนึ่งพอร์ตที่สามารถช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถจัดการทุกเป้าหมายได้ในที่เดียว
นอกจากนี้ยังมีบริการติดตามการทำงานของพอร์ตซึ่งหากตรวจสอบพบว่าพอร์ตเริ่มทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เว็ลธ์เมจิกยังมีบริการ Rebalance Portfolio หรือปรับพอร์ให้ทำงานตรงตามเป้าหมายที่วางไว้รวมถึงการหาจังหวะในการขายออกให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการลงทุน
นายชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “สำหรับกองทุน RMFs เป็นการลงทุนที่เหมือนกับการซื้อวินัยการลงทุนที่มีประโยชน์อย่างมากในวัยเกษียณและเป็นหลักประกันที่มั่นคงว่าจะสามารถมีเงินเพียงพอและอยู่อย่างสุขสบายในปั้นปลาย
ส่วน LTFs แม้จะมีข่าวคราวว่าจะต้องปิดตัวลงแล้ว แต่เชื่อว่าในปีหน้าจะต้องมีตัวเลือกออกมาเป็นทางเลือกในการลงทุนพร้อมทั้งแนะนำให้มนุษย์เงินเดือนลงทุนใน LTFs เพื่อใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุดอีกด้วย”