นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เจแปน อิควิตี้ ฟันด์ (KT-JAPAN) เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 18-27 พฤษภาคม 2559 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Henderson Horizon Fund –Japanese Smaller Companies Fund โดยกองทุนรวมหลักได้รับการจัดอันดับจาก Morningstar ระดับ 5 ดาว และได้รับรางวัลประเภท Best Fund award in the Equity Japan Small and Mid Caps จาก Thomson Reuters Lipper Fund Awards ปี 2016 จากประเทศไต้หวัน โดยกองทุนรวมหลักที่กองทุน KT-JAPAN ลงทุน มีวัตถุประสงค์ในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว โดยเน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งหุ้นขนาดเล็กในญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาด ในช่วง 10,000-100,000 ล้านเยน หรือประมาณ 3,250 – 32,500 ล้านบาท โดยจุดเด่นของการลงทุนในหุ้น Small Cap คือ ผลตอบแทนย้อนหลังดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาด และเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง รวมทั้งอัตราผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง (Sharpe Ratio) ย้อนหลังของหุ้นขนาดเล็กก็ดีกว่าเช่นกัน หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าดัชนี Nikkei 225 ติดลบ 4.16% ดัชนี Topix ติดลบ4.43% ในขณะที่ดัชนี TSEMother Index ซึ่งเป็นดัชนีของหุ้นขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 3.95% สำหรับปัจจัยที่ทำให้หุ้นขนาดเล็กมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลาง ได้แก่ หุ้นขนาดเล็กส่วนใหญ่มีฐานรายได้จากเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นน้อยกว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ และหุ้นขนาดเล็กมีสัดส่วนการถือครองหุ้นที่เป็นต่างชาติน้อยกว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ จึงทำให้ความผันผวนของหุ้นขนาดเล็กน้อยกว่าเช่นกัน ซึ่งหุ้นขนาดเล็กมีสัดส่วนของผู้ถือหุ้นในประเทศประมาณ 70% ต่างชาติ 20-30% ในขณะที่หุ้นขนาดกลางและใหญ่มีสัดส่วนของผู้ถือหุ้นในประเทศประมาณ 20 – 30% ต่างชาติ 70% ส่วนเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นคาดว่าน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าได้ประกาศนโยบายดอกเบี้ยติดลบในการประชุมในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก ซึ่งคาดว่า จะมีการลดดอกเบี้ยและขยายวงเงินในการเข้าซื้อหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายการลดภาษีธุรกิจลงเหลือ 29% จาก 32% ในปีนี้ ด้านการจ้างงานยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.2% ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อไป ค่าเงินเยนที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่นเริ่มมีธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย โดยบริษัทเริ่มมีการจ่ายเงินปันผลรวมถึงการซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดค่อนข้างผันผวนเนื่องจากผิดคาดกับผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประกาศมาตรการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้ ซึ่งทำให้ตลาดมีการปรับตัวลดลงไป 7% จากที่ปรับตัวขึ้นมา 9% แต่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบัน P/E อยู่ที่ระดับ 15.4 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 17.5 เท่า ในขณะที่ Earnings Growth ยังอยู่ในระดับ 15-17% ดังนั้น จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการลงทุนในกองทุน KT-JAPAN เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน และสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี