Thailand Web Stat

articles

เลือกกองทุนให้ดี ดู Standard Deviation และ Sharpe Ratio ให้เป็น

เลือกกองทุนให้ดีดู Standard Deviation และ Sharpe Ratio ให้เป็น standard deviation แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจในการเลือกกองทุนก็คือ ผลตอบแทน แต่การดูผลตอบแทนเพียงแค่อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จะต้องพิจารณาความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย แต่ค่าความเสี่ยงกองทุนมีทั้งค่า Standard Deviation และ Sharpe Ratio ที่คนส่วนใหญ่ใช้กันบ่อย ๆ แล้วเราจะอ่านค่าและแปลความหมายยังไง WealthMagik สรุปไว้ในบทความนี้แล้ว Standard Deviation (SD) หรือที่เรียกกันว่า “ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน” แต่ถ้าในทางกองทุนรวม หมายถึง “ค่าความผันผวนของผลตอบแทน”แสดงถึงความผันผวนของผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งในทางบวกและทางลบ ถ้าหากค่า SD มีค่าน้อย แปลว่ากองทุนมีความผันผวนน้อย ผู้ลงทุนอาจจะได้ผลตอบแทนน้อย แต่มีโอกาสขาดทุนต่ำ ถ้าหากค่า SD มีค่ามาก แปลว่ากองทุนมีความผันผวนมาก ผู้ลงทุนอาจจะได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย (หรือเรียกได้ว่าค่า Standard Deviation (SD) ยิ่งต่ำยิ่งดี) Sharpe Ratio ผลตอบแทนของกองทุนรวมเทียบกับอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยปรับด้วยค่า SD ของกองทุนรวม หรือที่เรียกกันว่า …

เลือกกองทุนให้ดี ดู Standard Deviation และ Sharpe Ratio ให้เป็น Read More »

อ่าน Fund Fact Sheet สักนิดเพื่อเป็นทริคในการซื้อกองทุนรวม

อ่าน Fund Fact Sheet สักนิดเพื่อเป็นทริคในการซื้อกองทุนรวม Fund Fact Sheet เคยไหมอยากซื้อกองทุนแต่ไม่อยากอ่าน Fund Fact Sheet หรือคนอื่นบอกว่าดีก็เลือกซื้อโดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดของกองทุน ด้วยข้อความและเนื้อหาใน Fund Fact Sheet ที่มีรายละเอียด 3- 5 หน้า ทำให้บางคนจับจุดสำคัญไม่ถูกหรือเลือกที่จะไม่อ่าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Fund Fact Sheet มีรายละเอียดที่สำคัญมากมายที่นักลงทุนต้องรู้ ฉะนั้นควรศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดของ Fund Fact Sheet ให้เข้าใจก่อนการตัดสินใจลงทุน Fund Fact Sheet คืออะไร Fund Fact Sheet หรือที่เรียกกันว่าหนังสือชี้ชวนที่มีรายละเอียดของกองทุนรวม เพื่อให้เราได้ทำความเข้าใจ และศึกษารายละเอียดสำคัญๆ ก่อนการตัดสินใจลงทุน ในFund Fact Sheet มีทั้ง ประเภทกองทุน, นโยบายการลงทุน, ลักษณะความเสี่ยงและผลตอบแทน, ทรัพย์สินที่ลงทุน 5 อันดับแรก, ผลการดำเนินงานย้อนหลัง และ ค่าธรรมเนียม …

อ่าน Fund Fact Sheet สักนิดเพื่อเป็นทริคในการซื้อกองทุนรวม Read More »

Hedge VS Unhedged นาทีนี้! เลือกกองทุนแบบไหนดี

Hedge VS Unhedged นาทีนี้! เลือกกองทุนแบบไหนดี Hedge VS Unhedged เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมกองทุนประเภทเดียวกัน ลงทุนในกองทุนหลักเหมือนกัน ถึงให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น TGoldBullion-UH ให้ผลตอบแทนสูงกว่า TGoldBullion-H หรือปัจจัยที่ทำให้ผลตอบแทนต่างกันเกิดจากการ Hedging แล้วทำไมกองทุนที่ไม่ได้ทำการ Hedging ถึงทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น WealthMagik จะพามารู้จักกับ การ Hedging กัน การ Hedge หมายถึง กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน จะเจอเฉพาะในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เน้นเรื่องกำไรที่ดีขึ้นแต่เป็นการลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน ตัวอย่างเช่น เราไปลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐ เราจำเป็นต้องแลกเงินบาทเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งพอถึงเวลาแลกกลับคืนมาเป็นเงินบาท ค่าเงินอาจจะแข็งขึ้นหรืออ่อนค่าลงก็เป็นไปได้ อาจจะกระทบต่อกำไรได้ แต่ถ้าเรา Hedging จะทำให้ลดความกังวลในเรื่องความผันผวนของค่าเงินได้ แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงกว่ากองทุนที่ไม่ได้ hedging ค่าเงิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3% เมื่อทำการ Hedge ในคู่สกุลเงินกับดอลลาร์สหรัฐ การ Unhedged หมายถึง กองทุนที่เปิดรับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ถ้าหากคาดการณ์สถานการณ์การลงทุนได้ถูกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าลง ก็จะได้กำไร …

Hedge VS Unhedged นาทีนี้! เลือกกองทุนแบบไหนดี Read More »

เปิดโลกการลงทุน หุ้น และหุ้นกู้ ต่างกันยังไง?

เปิดโลกการลงทุน หุ้น และหุ้นกู้ ต่างกันยังไง? ตราสารหนี้ คืออะไร? ช่วงนี้สินทรัพย์มาแรงที่หลายนักวิเคราะห์พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมาะสำหรับลงทุนในสภาวะดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้นั่นเอง บางคนอาจทราบดีอยู่แล้วว่าหุ้นกู้คืออะไร แต่ก็ยังมีนักลงทุนหลายท่านที่สับสนระหว่างหุ้น และหุ้นกู้ อาจด้วยทั้งสองสินทรัพย์มีชื่อที่คล้ายกัน บทความนี้เลยชวนทุกคนมาเจาะลึกความต่างระหว่าง หุ้น และหุ้นกู้ ว่าต่างกันอย่างไรบ้าง แต่ละสินทรัพย์เหมาะกับการลงทุนแบบไหน! ทำความเข้าใจหุ้น และหุ้นกู้ หุ้น หรือตราสารทุน โดยนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นจะมีสถานะเป็น “เจ้าของ” บริษัท หรือที่เรียกว่า “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งถ้าบริษัทนั้นมีกำไร ก็หมายความว่าผู้ถือหุ้นจะได้กำไรไปด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าบริษัทขาดทุนก็มีโอกาสที่จะขาดทุนไปด้วยเช่นกันหุ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งทั้งสองประเภทนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทเช่นเดียวกัน แต่จะต่างกันตรงผู้ที่ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ส่วนผู้ที่ถือหุ้นบุริมสิทธิจะไม่มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้น และได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ แต่ในกรณีที่บริษัทนั้นเลิกประกอบกิจการหรือขาดทุน ผู้ที่ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับปันผลและเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญหุ้นกู้ หรือตราสารหนี้ แบ่งออกเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล และตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนหรือที่นักลงทุนรู้จักกันในชื่อหุ้นกู้ โดยนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้จะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” เนื่องจากรัฐบาล หรือบริษัทออกหุ้นกู้นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อขอกู้ยืมเงินจากประชาชน โดยจะจ่ายผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบของดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด และชำระคืนเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้นั่นเอง ผลตอบแทนระหว่างหุ้น และหุ้นกู้เป็นอย่างไร? นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นจะได้รับผลตอบแทนจาก 2 …

เปิดโลกการลงทุน หุ้น และหุ้นกู้ ต่างกันยังไง? Read More »

ETF การผสมผสาน(จุดเด่น)ระหว่างหุ้นและกองทุนรวม

ETF การผสมผสาน(จุดเด่น)ระหว่างหุ้นและกองทุนรวม ลงทุนปี 2567 ETF คืออะไร ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund คือ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีต่างๆ เช่น Set 50 เป็นกองทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และสามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ได้เหมือนหุ้น และมีการกระจายการลงทุนได้เหมือนกองทุนรวม เป็นการผสมผสานจุดเด่นระหว่างกองทุนรวมกับหุ้นเข้าด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนแบบ Passive เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี ผลตอบแทนจากการลงทุน ETF ผลตอบแทนแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ผลตอบแทนจากกำไรส่วนต่างจากราคาซื้อขาย(Capital Gain) เราจะได้รับก็ต่อเมื่อเราซื้อ ETF ในราคาต่ำแต่สามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าตอนซื้อมา และเงินปันผล(Dividend) จากการที่เราไปลงทุนในหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ ETF ไปลงทุน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของETF ที่ระบุเงื่อนไขไว้ในแต่ละกองทุน ความแตกต่างระหว่าง ETF หุ้น และ กองทุนรวม ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ / ราคาซื้อขาย ETF และหุ้น มีการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สามารถซื้อขาย แบบ Real …

ETF การผสมผสาน(จุดเด่น)ระหว่างหุ้นและกองทุนรวม Read More »

มองหาผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก ลองมารู้จักกับ “ตราสารหนี้”

หาผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก มาทำความรู้จักกับ “ตราสารหนี้” ตราสารหนี้ คืออะไร? ตราสารหนี้ คือ ตราสารชนิดหนึ่ง ที่ออกมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการระดมทุนจากนักลงทุน และชำระคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุของตราสารนั้น โดยที่ผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งมีทั้งหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน และพันธบัตรรัฐบาลที่ภาครัฐเป็นคนออก นักลงทุนที่ซื้อตราสารหนี้จะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” และผู้ที่ออกตราสารหนี้มีสถานะเป็น “ลูกหนี้” ข้อดีของตราสารหนี้ ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ นักลงทุนที่ซื้อตราสารหนี้จะสามารถคาดการณ์รายรับล่วงหน้าได้จากอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว ซึ่งโดยปกติแล้วจะคงที่และจ่ายอย่าสม่ำเสมอทุก 3 เดือน 6 เดือน ทำให้นักลงทุนสามารถวางแผนการเงินในอนาคตได้ กระจายความเสี่ยงของพอร์ต ตราสารหนี้เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ และได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จึงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตลง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน หรือกระจายความเสี่ยง เนื่องจากราคาของตราสารหนี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามกับราคาหุ้น รักษาเงินต้น แน่นอนว่าสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง การรักษาเงินต้นไว้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ฝากธนาคารอย่างเดียวก็ได้ดอกเบี้ยน้อย ดังนั้น ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล อย่างพันธบัตร หรือตั๋วเงินคลัง ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ อีกทั้งยังได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าฝากธนาคารอีกด้วย มีการจัดอันดับตามความเสี่ยง ในกรณีที่ผู้ออกตราสารหนี้เป็นภาคเอกชน หรือที่เรียกว่าหุ้นกู้ จะมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ เนื่องจากแต่ละบริษัทมีผลการดำเนินงาน รวมไปถึงความสามารถในการชำระหนี้คืนต่างกัน ดังนั้น หุ้นกู้จึงจะมีหน่วยงานที่เข้ามาจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถจัดอันดับได้ทั้งบริษัทที่ออกหุ้นกู้ รวมไปถึงตัวหุ้นกู้แต่ละรุ่นด้วย …

มองหาผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก ลองมารู้จักกับ “ตราสารหนี้” Read More »

ส่องทุกตลาดยักษ์ใหญ่ หาโอกาสกระจายการลงทุนทั่วโลก

ส่องทุกตลาดยักษ์ใหญ่ หาโอกาสกระจายการลงทุนทั่วโลก เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงทราบสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกมาบ้างแล้ว บทความนี้ WealthMagik เลยจะพาทุกท่านมาเจาะข้อมูลของแต่ละตลาดเด่นๆ ทั่วโลกไปเลย ว่าภาพรวมเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกท่านนำไปเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนได้ง่ายขึ้นครับ ลงทุนปี 2567 สหรัฐอเมริกา ในปี 2024 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจากปี 2023 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างร้อนแรง จนทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นไปสูงมาก นำไปสู่มาตรการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้การที่ปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงนับเป็นข่าวดี เนื่องจาก FED จะได้มีมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากการคาดการณ์กำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าเติบโตได้ประมาณ 12% บริษัทในกลุ่มดัชนี S&P 500 ที่เติบโตได้ดี แน่นอนว่าต้องเป็นกลุ่ม Technology แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ปีนี้มาแรงเช่นกันนั่นคือ Healthcare นั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นจังหวะลงทุนในกองทุนแบบ Passive ที่ล้อตามดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เพราะส่วนหนึ่งคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งหลายๆ บริษัทยังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งมองว่ามีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง – SCBS&P500A กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดสะสมมูลค่า) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี …

ส่องทุกตลาดยักษ์ใหญ่ หาโอกาสกระจายการลงทุนทั่วโลก Read More »

เปรียบเทียบกันให้ชัด iShares Core S&P 500 ETF กองทุนไหน? โดนใจมากที่สุด

เปรียบเทียบกันให้ชัด! ishares Core S&P 500 ETF กองทุนไหน? โดนใจมากที่สุด อยากลงทุนในกองทุนหลักอย่าง iShares Core S&P 500 ETF สิ่งที่มักจะได้ยินหลายๆคนถามมากที่สุดคือ กองทุนไหนน่าลงทุน ? ซึ่งแน่นอนว่ากองทุนที่ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Core S&P 500 ETF  ไม่ได้มีเพียงแค่กองทุนเดียว แล้วจะมีวิธีเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกกองทุนยังไงเพื่อให้ตรงกับเป้าหมายเรามากที่สุด บทความนี้ขอแนะนำเครื่องมือ Fund Info ฟีเจอร์ Fund Compare ของ WealthMagik ในการเปรียบเทียบกองทุนเพื่อจะได้เลือกกองทุนที่ตรงกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของเรา พอร์ตการลงทุน กองทุนที่เลือกมามีทั้งหมด 4 กองทุน ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Core S&P 500 ETF มีสัดส่วน Top 5 Holdings ดังนี้ K-US500X-A(A) 99.17 %  TMBUS500      …

เปรียบเทียบกันให้ชัด iShares Core S&P 500 ETF กองทุนไหน? โดนใจมากที่สุด Read More »

กองทุนในพอร์ตติดลบเรา(ควร)จบกันไหม

กองทุนในพอร์ตติดลบเรา(ควร)จบกันไหม สถานการณ์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงยาวนานและต่อเนื่อง, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ , ธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ที่สหรัฐฯ ปิดกิจการ หรือ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้กองทุนรวมปรับตัวลงอย่างหนักซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนไม่น้อย บางคนรีบขายกองทุนออกไปเพราะกลัวจะติดลบมากกว่านี้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ มาดูวิธีที่ WealthMagik แนะนำก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าควรเลือกทางไหนดี วิธีพิจารณาในกรณีกองทุนในพอร์ตติดลบ ถือต่อไป พิจารณาก่อนว่ากองทุนที่เราลงทุนไป มีโอกาสฟื้นกลับมาหรือไม่ในระยะยาว บางครั้งอาจจะเกิดจากสถานการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น สงคราม เศรษฐกิจ หากเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นระหว่างทางการลงทุนแค่ชั่วคราวก็ควรถือต่อไป เพราะถ้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงก็มักจะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ถ้าผ่านในระยะสั้นไปได้ ก็อาจจะทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลกำไรกลับมาได้ หรือเดินหน้าลงทุนต่อไปแต่อาจจะเปลี่ยนมา DCA (Dollar Cost Average) เพราะเป็นการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ยด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวดอย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างวินัยทางการลงทุน และยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ปรับพอร์ต ในการลงทุนควรมี 2 สินทรัพย์ขึ้นไปเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนอยู่แล้ว แต่ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะได้กำไรตลอด อาจจะเกิดวิกฤตจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์หรือผลตอบแทนลดลงบ้าง ทำให้การลงทุนไม่เป็นไปตามแผน ต้องปรับตัวตามสถานการณ์โดยทำการ Rebalance Portfolio …

กองทุนในพอร์ตติดลบเรา(ควร)จบกันไหม Read More »

ลงทุนไว้นาน มา Rebalance Portfolio กันเถอะ

ลงทุนไว้นาน มา Rebalance Portfolio กันเถอะ การทำ Asset Allocation คือการการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เราต้องการ แต่ก็ใช่ว่ากระจายความเสี่ยงแล้วพอร์ตจะสมบูรณ์แบบ เพราะการลงทุนระยะยาวอาจทำให้สัดส่วนการลงทุนที่เราตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรกผิดเพี้ยนไปจากเดิม สาเหตุที่สัดส่วนการลงทุนผิดเพี้ยนเกิดจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ทรัพย์ที่เราลงทุนในแต่ละตัวเติบโตไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องมีการปรับสมดุลพอร์ต WealthMagik จึงแนะนำเครื่องมือปรับสมดุลพอร์ต หรือที่เรียกว่า “Rebalance Portfolio” การ Rebalance Portfolio คืออะไร การปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนที่เราวางแผนลงทุนในระยะยาวให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่เราตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรก เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ผลตอบแทนที่มั่นคง ไม่เหวี่ยงจนเกินไป และสามารถรับมือจากความผันผวนของตลาดได้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าพอร์ตลงทุนของเรายังตรงตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ วิธีการ Rebalance Portfolio ขายสินทรัพย์ที่สัดส่วนเกินออกไป (Overweight) แล้วนำเงินมาซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนลดลง (Underweight) เพื่อให้พอร์ตกลับมามีสัดส่วนเท่าเดิม เติมเงินเข้าไปในพอร์ตการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนลดลง (Underweight) เพื่อให้พอร์ตกลับมามีสัดส่วนเท่าเดิม จัดสัดส่วนพอร์ตการลงทุนใหม่ เปลี่ยนแปลงเป้าหมายการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในช่วงนั้นๆ และสามารถรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้จากเป้าหมายเดิม ช่วงเวลาการ Rebalance Portfolio ปรับตามช่วงเวลา เช่น ปรับทุกๆ 6 เดือน หรือ ทุก1 ปี ปรับตามเป้าหมายในการลงทุน เช่น …

ลงทุนไว้นาน มา Rebalance Portfolio กันเถอะ Read More »