Thailand Web Stat

บริหารพอร์ตด้วย ‘ศิลปวัตถุ’ … สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์

โลกการลงทุนไม่ได้มีแต่ตลาดหุ้น "สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์" ทายาทธุรกิจน้ำตาลขอนแก่น เจเนอเรชั่นที่ 3 แห่งตระกูล "ชินธรรมมิตร์" จึงเลือกลงทุนในศิลปวัตถุ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นอกเหนือจากธุรกิจโรงนุ่น โรงน้ำตาล ผงชูรส และพลังงาน ที่เป็น ”กงสีใหญ่” ของตระกูล "ชินธรรมมิตร์" เจ้าของโรงงาน "น้ำตาลขอนแก่น" (KSL) ในตลาดหลักทรัพย์ ตระกูลนี้ยังแตกแขนงธุรกิจออกมามากมาย โดยมีทายาทรุ่นหลานเจเนอเรชั่นที่ 3 ดูแล

หนึ่งในธุรกิจกงสีเล็กของกลุ่มชินธรรมมิตร์ คือ โมเดลการลงทุนสำหรับการบริหาร "พอร์ตลงทุน" และบริหารความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของประเทศ ที่มี "สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์" เป็นหัวเรือใหญ่

ประสบการณ์การทำงานด้านการเงิน การลงทุนอันโชกโชน ทั้งการเทรดในห้องค้าเงิน ตราสารหนี้ หุ้น บริหารเงินลงทุนส่วนบุคคลให้กับธนาคารซิตี้แบงก์ ทำให้สมเกียรติมีความได้เปรียบเมื่อผันตัวเองมาตั้งบริษัทส่วนตัว รวมถึงการบริหารพอร์ตลงทุนของตัวเอง..

ในแง่การบริหารเงินลงทุนส่วนตัวของ “สมเกียรติ” ก็น่าสนใจติดตามไม่น้อย…

สมเกียรติบอกว่า การจัดสินทรัพย์ลงทุน (Asset Class) ส่วนตัว จะไม่ยึดติดอยู่กับการลงทุนเฉพาะในผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น หุ้น และตราสารหนี้ เท่านั้น แต่จะกระจายไปยัง "ศิลปวัตถุ" ต่างๆด้วย ซึ่งจะทำให้มูลค่าของพอร์ตเติบโตได้ดีกว่าการมีหุ้นและตราสารหนี้หลายเท่าตัว แถมยังได้ของสวยงามไว้ประดับบ้าน และมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย

"การลงทุนในอาร์ตคอลเลคชั่น ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ รูปภาพ จะมีวิธีการลงทุนเหมือนกับลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆ คือ ต้องดูว่าเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ เพราะเมื่อเศรษฐกิจประเทศดี จะทำให้เกิดคนรวยใหม่ เกิดการสะสมศิลปวัตถุต่างๆ"

ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มศิลปวัตถุเหล่านั้นตามเศรษฐกิจที่ร้อนแรง

พอร์ตการลงทุนส่วนตัวของสมเกียรติ เขาบอกว่า เงินส่วนใหญ่จะอยู่ในหุ้นราว 60-70% ของพอร์ต ส่วนเงินที่เหลือราว 20% ได้กระจายลงทุนไปยังศิลปวัตถุ เช่น เซรามิคจีน มูลค่าราว 7-8 ล้านบาท รวมถึงลงทุนในเหรียญกษาปณ์ เงินลงทุนที่เหลือราว 10% อยู่ในตราสารหนี้ เพื่อไว้เป็นสภาพคล่อง

"พอร์ตการลงทุนของผมจะเลือกหุ้นดีๆ เก็บไว้ โดยหาบริษัทที่มีการจัดการที่ดี และแบรนด์ดี ตอนนี้คิดว่าราคาหุ้นยังถูกมาก จากที่ผมเดินทางไปประเทศต่างๆ ทำให้เทียบเคียงได้ว่า หุ้นจีนราคาแพงมากแล้ว แต่หุ้นไทยยังถูกมาก

คิดง่ายๆ ตลาดหุ้นไทยจัดตั้งขึ้น 2518 จากดัชนี 100 จุด ขึ้นมา 880 จุดในช่วง 35 ปี แต่ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ของเวียดนามตั้งเมื่อปี 2543 ตอนนี้ดัชนีขึ้นมากว่า 1,000 จุด ใช้เวลาเพียง 7 ปี

ผมมองว่าราคาอสังหาริมทรัพย์และราคาหุ้นของไทย “ต่ำกว่า” ความเป็นจริงมาก โดยตลาดหุ้นไทยมีค่าพีอีเพียง 10-11 เท่า แต่เวียดนามมีค่าพีอี 40 เท่า ขึ้นมา 100% ไม่กี่เดือนในปีนี้"

ขณะที่ "คุณภาพ" ของบริษัทจดทะเบียนก็แตกต่างกัน

สมเกียรติบอกว่า เวียดนามจะมีบริษัท FPT คล้ายเอไอเอสของไทย แม้ผู้บริหารจะบริหารงานเก่งมาก แต่คุณภาพบริษัทเทียบกับไทยเราดีกว่ามาก

หรือถ้าเอาหุ้นปูนมาประกบกัน คุณภาพของบริษัทไทยก็ยังดีกว่ามากและราคาถูก

การลงทุนในหุ้น เขาบอกว่า ถ้าเลือกหุ้นได้ดีใน 5 ปี ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทน 50% เฉลี่ยปีละ 10-20% แต่เงินลงทุนก็ยังเติบโต "ช้ากว่า" การลงทุนในเซรามิคจีน

"อย่างเมื่อ 2 ปีก่อน ผมซื้อเซรามิคจีน เป็นแจกันมาร์แชล 1 คู่ ในราคา 1,250 เหรียญยูโร (5 หมื่นบาท)) ปัจจุบันราคาเพิ่มเป็น 5 หมื่นยูโร (2 ล้านบาท) ภายในระยะเวลา 2 ปีกว่า มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาถึง 40 เท่าตัว "

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วการลงทุนในเซรามิคช่วง 1-2 ปี ผลตอบแทนจะขึ้นมาราว 4-5 เท่า แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนด้วย ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าราคาตลาดจริงๆ เป็นเท่าไร ซึ่งต้องติดตามจากการเปิดประมูลที่จะจัดขึ้นทุกเสาร์แรกของเดือนที่โรงแรมริเวอร์ไซด์

หลักการลงทุนในศิลปวัตถุ สมเกียรติบอกว่า กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี จะเป็นวิธีเดียวกับ "นักการเงิน" หรือผู้จัดการลงทุนทำกัน..

"ต้องวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคให้ได้เสียก่อนว่า ศิลปะประเทศไหนจะมีโอกาสได้กำไรที่ดี เศรษฐกิจประเทศไหนจะมาแรงสุด เพราะจะทำให้เกิดคนรวยใหม่ เช่น เศรษฐกิจจีนที่กำลังร้อนแรงจะมีคนรวยใหม่ขึ้นจำนวนมาก ทำให้มีการเก็บศิลปวัตถุ รวมถึงคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียน่าจะมาแรงในเวลาอันใกล้นี้ ก็ต้องเก็บศิลปวัตถุอินเดีย"

แต่ "ความเสี่ยง" ในการลงทุนศิลปวัตถุก็มีเช่นกัน..

สมเกียรติบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนพวกนี้ จะต้องดูศิลปวัตถุ "ให้เป็น" สภาพคล่องในการซื้อและขาย จัดเก็บที่ดีไม่ให้แตก ร้าว เพราะเท่ากับสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งก้อนเลย

"ศิลปวัตถุจีนจะเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะสามารถขายที่ไหนก็ได้หลายประเทศ ทั้งในจีน เวียดนาม ไต้หวัน เพราะจะมีคนเล่นศิลปวัตถุจีนกันทั่วโลก การเก็บสะสมศิลปะของจีนอย่างเดียวดีสุด หรือเมื่อเศรษฐกิจเวียดนามบูม จะมีคนตามหาซื้อศิลปวัตถุจีนที่ตำบลวังเทา คาร์โก ในเวียดนาม เพราะเคยมีเรือสินค้าจีนมาล่มตำบลวังเทา และตำบลมาเซา ทำให้เวียดนามได้ศิลปวัตถุจีนมาประมูล ซึ่งประสบความสำเร็จมาก"

สมเกียรติจึงแนะนำว่า หากใครต้องการลงทุนศิลปวัตถุ ควรจะเลือกสะสมของจีน หรือเวียดนามจะดีกว่า เพราะเศรษฐจีนและเวียดนามกำลังมาแรง ก็ลงทุนในศิลปวัตถุเหล่านี้ แต่โอกาสที่จะได้ศิลปวัตถุมาสะสมไม่ได้มีมากนัก เพราะนานๆ จะมีของสวย และราคาที่ดีมาให้เลือกซื้อ

ในแง่การลงทุนเหรียญกษาปณ์นั้น เขาเพิ่งจะมาลงทุนไม่นานนี้เอง หลังจากที่ไปจองเหรียญเงิน "กาญจนา" ฉลองครองราชย์ 50 ปี ไม่ได้ จึงไปซื้อเหรียญเงิน "รัชดา" (ครองราชย์ 25 ปี) แทน โดยมีอายุถึง 34 ปี

"เมื่อไม่นานมานี้ได้ไปซื้อเหรียญเงินแท้ “รัชดา” (เหรียญ 10 บาท) อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นของเก่า ราคาถูกกว่า ซึ่งเมื่อมีเหรียญใหม่ออกมา ทำให้เหรียญเก่าไม่มีใครสนใจ ผมจึงซื้อไว้ ตอนซื้อราคา 60 บาท ตอนนี้เป็น 110 บาทแล้ว เป็นเหรียญ 10 บาท แต่เป็นเนื้อเงินแท้ แต่ผมคิดเป็นการสะสมมากกว่า"

ส่วนเหรียญรุ่นใหม่ที่กำลังขายอยู่ขณะนี้ สมเกียรติเชื่อว่า จะมีราคาเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

"เนื่องจากในหลวงเป็นที่รักของประชาชนมาก คิดว่าในอนาคตมูลค่าจะเพิ่มขึ้น เหมือนกับเหรียญรัชกาลที่ 5 (เหรียญหนวด) ที่ประชาชนรักมาก ตอนนี้มีมูลค่าสูงถึง 2-3 ล้านบาท"

สมเกียรติบอกว่า เวลาซื้อเหรียญจะใช้วิธีเทียบมูลค่าเหรียญกับราคาทองว่า ถ้าเราจ่ายพรีเมียมไป จะเป็นกี่เท่าของราคาทอง โดยคำนวณน้ำหนักเป็นกรัมว่ามีมูลค่าเท่าไร เช่น เหรียญเงิน มีน้ำหนักกี่กรัม ราคาออนซ์ละเท่าไร แล้วคำนวณกับน้ำหนักราคาทองว่าเป็นเท่าไร ก็จะทำให้รู้ว่า "พรีเมียม" ที่เราจ่ายเป็นเท่าไร

"อย่างเหรียญเงินรัชดา มีคนเก็บมาและแบกดอกเบี้ยมาแล้ว 34 ปี บวกกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้น เรามาซื้อ 60 บาท เท่ากับได้พรีเมียมมาฟรี

เราต้องคำนวณเวลาถือและดอกเบี้ยที่ผ่านมาด้วย จะทำให้เรารู้ว่ามูลค่าเป็นเท่าไร ด้วยมูลค่าเงินไม่กี่บาท แต่เมื่อคำนวณกลับมาเป็นปัจจุบัน จะมีมูลค่ามหาศาล

หรือถ้ากรณีเลวร้าย ก็ยังได้มูลค่าหน้าเหรียญ 10 บาทไปใช้ได้อีก

ข้อระวังในการลงทุนเหรียญกษาปณ์ ก็คือ จะต้องซื้อ "เหรียญใหม่" ไม่ผ่านการใช้ และต้องไม่มีรอยขีดข่วน (ขนแมว) เลย เพราะถ้ามีรอยขูดขีดมาก ราคาจะตกลงทันที

นี่คือสไตล์ลงทุนของสมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ ทายาทรุ่น 3 ของน้ำตาลขอนแก่น ซึ่งนอกจากได้ "ตัวเงิน" แล้ว ยังได้ใช้หลักวิเคราะห์อีกหลายศาสตร์

*******************
ที่มา :