Thailand Web Stat

เลือกติดพอร์ตไว้สักกอง ยุคทองของกองทุนหุ้นอินเดีย มาถึงแล้ว

กองทุนหุ้นอินเดีย
กองทุนหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียกำลังเป็นเป้าหมายใหม่ของนักลงทุน สาเหตุมาจากอินเดียมีจำนวนประชาการมากที่สุดในโลกและเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดโดยมี GDP เติบโตที่ 6.5 % คาดว่าจะโตได้ถึง 7.3 % แซงหน้าจีนเป็นที่เรียบร้อย จุดที่น่าสนใจคือ อินเดียไม่ได้เติบโตมาจากการส่งออกเป็นหลัก แต่มาจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่เป็นแรงผลักดันแผนเศรษฐกิจ
WealthMagik จึงขอหยิบกองทุนหุ้นอินเดียที่น่าสนใจมาทั้งหมด 5 กองทุน ซึ่งทั้ง 5 กองทุนเป็นกองทุนที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก (Passive Fund) อยู่ในระดับความเสี่ยง 6 และไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เผื่อใครที่อยากเริ่มลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย หรืออยากมีกองทุนหุ้นอินเดียติดพอร์ตไว้ สามารถศึกษาจากบทความนี้ได้เลย
กองทุนหุ้นอินเดีย

พอร์ตการลงทุน

  • KWI INDIA-A
    ลงทุนในกองทุนหลัก Manulife Global Fund – India Equity Fund (Class I2) 95.83 %
  • KT-INDIA-A
    ลงทุนในกองทุนหลัก Invesco India Equity Fund – Class A (ININEAI LX) 99.31 %
  • KFINDIA-A
    ลงทุนในกองทุนหลัก FSSA Indian Subcontinent Fund 95.04 %
  • ONE-INDIAOPP-RA
    ลงทุนในกองทุนหลัก PINEBRIDGE-INDIA EQUITY-Y 98.06 %
  • ABIG
    ลงทุนในกองทุนหลัก abrdn SICAV I – Indian Equity Fund 98.14 %

ผลตอบแทนย้อนหลัง

จากตัวเลขของผลตอบแทนย้อนหลังจะเห็นได้ว่า กองทุนไทยที่มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นอินเดียที่สร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้โดดเด่นที่สุด คือ KWI INDIA-A อยู่ที่ 38.13% และรองลงมาคือ ABIG และ KT-INDIA-A ที่ให้ผลตอบแทน อยู่ที่ 37.16% และ 31.89% ตามลำดับ แต่สำหรับกองทุน KFINDIA-A และ ONE-INDIAOPP-RA อาจจะทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้ไม่โดดเด่นมากแต่ก็ไม่ได้ห่างจากกลุ่มมากนัก ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 29.39% และ 26.09% ตามลำดับ

กองทุนหุ้นอินเดีย

ความเสี่ยง

ในส่วนผลตอบแทนกับความเสี่ยง ค่า SD (ยิ่งน้อยยิ่งดี) ของ KFINDIA-A , KT-INDIA-A และ ONE-INDIAOPP-RA มีค่า SD อยู่ที่ 11.68, 12.31 และ 12.48 ตามลำดับ ซึ่งถ้าเทียบจาก 1 ปี หมายความว่าถ้าหากมีค่า SD ยิ่งน้อยแปลว่ากองทุนมีค่าความผันผวนของผลตอบแทนที่น้อย ส่วน KWI INDIA-A สูงที่สุดอยู่ที่ 12.73 ซึ่งหมายความว่ามีความผันผวนของผลตอบแทนมาก เนื่องจาก KFINDIA-A และ KT-INDIA-A มีค่า SD ที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก จึงต้องพิจารณาในส่วนของ Sharpe Ratio ประกอบด้วย ทำให้พบว่า KT-INDIA-A มีค่า Sharpe Ratio สูงกว่า อยู่ที่ 2.77 นั่นแสดงให้เห็นว่า KT-INDIA-A ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนอื่นๆเมื่อเทียบกันในระดับ 1 หน่วยความเสี่ยง

ค่าธรรมเนียม

หลังจากที่ดูเรื่องของผลตอบแทนย้อนหลังและความเสี่ยงของทุกกองทุนแล้ว เราอาจจะต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมประกอบด้วย จากอัตราส่วนค่าใช้จ่าย KFINDIA-A มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด อยู่ที่ 1.02 % และไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อคืน แต่มีค่าธรรมเนียมการขายอยู่ที่ 1.50% และถึงแม้ว่า KWI INDIA-A จะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง1ปี ดีที่สุด แต่ก็มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเช่นกันอยู่ที่ 2.08 % ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อคืน แต่มีค่าธรรมเนียมการขายอยู่ที่ 1.50%

*จากที่กล่าวมาเป็นเพียงข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นการใช้ Fund Compare ของทาง WealthMagik เพียงเท่านั้น การเลือกกองทุนที่จะลงทุนต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น การเงิน หรือ สถานการณ์ปัจจุบัน รวมกัน ฉะนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน 

ถ้าหากต้องให้แอดมินเลือกลงทุนเพียงแค่1กองทุน แอดเลือก “KT-INDIA-A” เหตุผลหลักๆ เลยคือความผันผวนของผลตอบแทนน้อย ถึงแม้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีจะอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นเป็นอันดับแรกๆ และ ค่าธรรมเนียมไม่ได้ต่ำที่สุดก็ตาม แต่แอดมินเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีแบบสม่ำเสมอมากกว่ากองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นแค่บางปี เพราะจะทำให้เราเห็นผลตอบแทนโดยรวมที่ดูดีขึ้นมาได้

*หากใครอยากดูข้อมูลเปรียบเทียบของกองทุนหุ้นอินเดียแบบอัปเดตล่าสุดก็สามารถใช้ฟังก์ชัน Fund Compare ในเมนู Fund Info ของทาง WealthMagik และเลือกกองทุนที่ต้องการเปรียบเทียบตามที่ต้องการได้เลย

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

WealthMagik – ลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

โทร 02 – 437 – 1588

Line : @WealthMagik หรือ คลิกที่นี่ 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

WealthMagik – ลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

โทร 02 – 437 – 1588

Line : @WealthMagik หรือ คลิกที่นี่