Thailand Web Stat

ส่องทุกตลาดยักษ์ใหญ่ หาโอกาสกระจายการลงทุนทั่วโลก

เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงทราบสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกมาบ้างแล้ว บทความนี้ WealthMagik เลยจะพาทุกท่านมาเจาะข้อมูลของแต่ละตลาดเด่นๆ ทั่วโลกไปเลย ว่าภาพรวมเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกท่านนำไปเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนได้ง่ายขึ้นครับ
ลงทุนปี 2567
ลงทุนปี 2567

สหรัฐอเมริกา

ในปี 2024 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจากปี 2023 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างร้อนแรง จนทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นไปสูงมาก นำไปสู่มาตรการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้การที่ปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงนับเป็นข่าวดี เนื่องจาก FED จะได้มีมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
จากการคาดการณ์กำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าเติบโตได้ประมาณ 12% บริษัทในกลุ่มดัชนี S&P 500 ที่เติบโตได้ดี แน่นอนว่าต้องเป็นกลุ่ม Technology แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ปีนี้มาแรงเช่นกันนั่นคือ Healthcare นั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นจังหวะลงทุนในกองทุนแบบ Passive ที่ล้อตามดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เพราะส่วนหนึ่งคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งหลายๆ บริษัทยังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งมองว่ามีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

- SCBS&P500A กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดสะสมมูลค่า)

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 15.28%
ความเสี่ยง : 6

- TMBUS500 กองทุนเปิดทหารไทย US500 Equity Index

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 15.33%
ความเสี่ยง : 6

- KFHEALTH-A กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 10.76%
ความเสี่ยง : 7

ยุโรป

ในปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดยุโรปดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ คาดว่า GDP ของฝั่งยุโรปจะโตได้ประมาณ 1.5% จากเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจของยุโรปอยู่ทยอยปรับตัวลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว โดยล่าสุด ECB หรือธนาคารกลางยุโรปมีมาตรการคงดอกเบี้ยนโยบาย และคาดว่าจะปรับลดตาม FED ตลาดหุ้นของฝั่งยุโรปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นของสหรัฐฯ จึงมองว่าเป็นโอกาสลงทุนในกองทุนหุ้นที่เติบโตล้อไปกับอุตสาหกรรมของยุโรป

- KF-EUROPE กองทุนเปิดกรุงศรี ยุโรปอิควิตี้

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 19.82%
ความเสี่ยง : 6

อินเดีย

อีกหนึ่งประเทศที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากในปัจจุบันอินเดียมีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน นักลงทุนต่างก็อยากย้ายฐานการผลิตมาที่อินเดีย เพราะค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าหลายประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำไปด้วย รวมไปถึงมีเศรษฐกิจโดยรวมดี เนื่องจากเศรษฐกิจของอินเดียขับเคลื่อนจากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก อีกทั้งยังมีช่องให้เติบโตได้อีกมาก โดย IMF คาดการณ์ว่า GDP ของอินเดียจะโตไม่ต่ำกว่า 6% ไปจนถึงปี 2028 อีกทั้งเงินเฟ้อจะกลับลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมาย ในมุมมองของการลงทุนมองว่าเป็นจังหวะให้ทยอยสะสมกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่เติบโตล้อไปกับเศรษฐกิจของอินเดีย

- KT-INDIA-A กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 24.24%
ความเสี่ยง : 6

- KF-INDIA กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 25.84%
ความเสี่ยง : 6

เวียดนาม

ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศฐานการผลิตที่กำลังมาแรงพอๆ กับอินเดีย เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน อีกทั้งภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังดีมาก โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ GDP ของเวียดนามจะโตได้ดีถึง 6% อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เงินเฟ้อก็อยู่ในกรอบเป้าหมาย จึงมองว่าเวียดนามมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

- PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : 16.20%
ความเสี่ยง : 6

ไทย

ดูภาพรวมจากหลายๆ ประเทศมาบ้างแล้ว มาดูตลาดของไทยกันบ้างว่าปัจจุบันเป็นยังไง ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 2.80% และภาคการส่งออกเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้มากขึ้นจากปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักๆ ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจในปีนี้ คือ การท่องเที่ยว เป็นโอกาสลงทุนในกองทุนกลุ่มดัชนีของไทย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก และขนาดกลาง ลงทุนแบบ Passive เหมาะมากกว่าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่

- KTMSEQ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น Mid-Small Cap

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี : -11.98%
ความเสี่ยง : 6

กองทุนแนะนำปี 2567

ญี่ปุ่น

BOJ หรือธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่น ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งในปีที่ผ่านมาค่าเงินเยนอ่อนค่าลง 17% ส่งผลให้ GDP ในกลุ่มสินค้าส่งออกพุ่งสูงขึ้น รวมไปถึงส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกันก็เสียเปรียบในด้านการนำเข้าเช่นกัน เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ส่งผลให้เงินเฟ้อยังคงสูงกว่ากรอบเป้าหมายจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มราคาสินค้า เมื่อสินค้าแพงขึ้นสหภาพแรงงานจึงออกมาเรียกร้องให้เพิ่มค่าแรงให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น จนในที่สุดผู้ประกอบการหลายรายในประเทศญี่ปุ่นอาจจะต้องย้ายฐานการผลิตใหม่

จีน

ตลาดจีนอย่างที่ทุกคนทราบว่าจีนอยู่ในช่วงขาลงมาตลอด ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัย คือ รัฐบาลจีนเข้าควบคุมการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนต่อ GDP มากถึง 25% แต่รัฐบาลจีนมองว่าเติบโตมากจนกลายเป็นภาวะฟองสบู่ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้จีนต้องมีการล็อคดาวน์ทั้งประเทศ ส่งผลให้ยอดขายและยอดลงทุนในภาคอสังหาฯ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในจีนสูงขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งหลายๆ นักวิเคราะห์มองว่าควรปรับสัดส่วนในการลงทุนในประเทศจีนลง ถ้าใครถืออยู่ก็อาจจะมีติดพอร์ตไว้บ้างไม่เกิน 10 – 15%

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

WealthMagik – ลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

โทร 02 – 437 – 1588

Line : @WealthMagik หรือ คลิกที่นี่