การตั้งค่าคุกกี้

ความเป็นส่วนตัวของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา

คุกกี้เป็นไฟล์เล็กๆ ใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูล โดยจะบันทึกลงไปในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมือสื่อสารที่เข้าใช้งานของลูกค้า ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ที่ลูกค้าเลือกใช้ ในขณะที่ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทฯ ลูกค้าสามารถยอมรับหรือปฏิเสธการใช้งานคุกกี้ได้ โดยการปรับการตั้งค่าในเบราว์เซอร์... 

Always Active

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้งานในเว็บไซต์ของบริษัทฯ ได้ทุกส่วน คุกกี้ประเภทนี้จะถูกจัดเก็บและลบออกหลังจากการท่องเว็บไซต์ของลูกค้า

คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการจดจำลูกค้าเมื่อลูกค้ากลับมาที่เว็บไซต์ของบริษัทฯ อีกครั้ง สิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ จัดเนื้อหาที่เหมาะสำหรับลูกค้าได้ ทักทายลูกค้าด้วยชื่อ และจดจำค่าที่ลูกค้าเลือกได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้และใช้ประมวลผลนั้นไม่มีการระบุชื่อ หรือบ่งบอกความเป็นตัวตนของลูกค้าได้ อีกทั้งไม่มีการเก็บข้อมูลจำเพาะบุคคลเช่น ชื่อ อีเมล เป็นต้น และใช้เป็นข้อมูลทางสถิติเท่านั้น

คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้บริษัทฯ สามารถวัดผลการทำงาน โดยประมวลผลจาก จำนวนหน้าที่ลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ ตลอดจนจำนวนลักษณะเฉพาะกลุ่มของผู้เยี่ยมชม โดยข้อมูลดังกล่าวจะนำมาใช้ในการวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชม และบริษัทฯ จะนำผลลัพธ์ดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการ และการใช้งานของผู้เยี่ยมชมให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้และใช้ประมวลผลนั้นไม่มีการระบุชื่อ หรือบ่งบอกความเป็นตัวตนของลูกค้าได้ อีกทั้งไม่มีการเก็บข้อมูลจำเพาะบุคคลเช่น ชื่อ อีเมล เป็นต้น และใช้เป็นข้อมูลทางสถิติเท่านั้น

คุกกี้ประเภทนี้จะจดจำการเข้าหน้าเว็บไซต์ จุดเยี่ยมชมและสนใจของลูกค้า ข้อมูลที่ได้นี้จะนำไปประกอบการปรับเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ และนโยบายทางการตลาดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า

UOBAM : Daily Update 5 พฤศจิกายน 2567

Daily Update 5 พฤศจิกายน 2567

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (4 พ.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดทั้งวัน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,794.60 จุด ลดลง 257.59 จุด หรือ -0.61%

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,712.69 จุด ลดลง 16.11 จุด หรือ -0.28% และ

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,179.98 จุด ลดลง 59.93 จุด หรือ -0.33%

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ต่างก็ขับเคี่ยวกันในการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันนี้ (5 พ.ย.) ขณะที่โพลหลายสำนักบ่งชี้ว่าคะแนนนิยมของทรัมป์และแฮร์ริสสูสีกันอย่างมาก และอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันในการตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งครั้งนี้

การลงทุนบางส่วนที่เรียกว่า “Trump Trade” ชะลอตัวลงหลังจากโพลล่าสุดบ่งชี้ว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำในรัฐไอโอวา ซึ่งโพลดังกล่าวส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลง และฉุดราคาบิตคอยน์ร่วงลงด้วย นอกจากนี้ โพลในรัฐไอโอวายังส่งผลให้เว็บพนันหลายแห่งเพิ่มอัตราการต่อรองว่าแฮร์ริสจะได้รับชัยชนะเหนือทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้

แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท CFRA Research กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความไม่แน่นอน และคาดว่าภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กจะผันผวนในสัปดาห์นี้ จนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้งว่าใครเป็นผู้ชนะ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาจนถึงวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) เป็นอย่างน้อย

ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 21.94 จุด ซึ่งยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ระดับ 19.46 จุด

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มบริการด้านการสื่อสารร่วงลง 1.21% และ 0.92% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุด โดยพุ่งขึ้น 1.87% ตามด้วยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดีดตัวขึ้น 1.13%

ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ ปรับตัวขึ้น 0.4% โดยได้แรงหนุนจากการชะลอตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ

หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.48% หลังจาก S&P Dow Jones Indices ประกาศนำหุ้นอินวิเดียเข้ารวมในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ แทนหุ้นอินเทล (Intel) ที่จะถูกถอดออกหลังรวมอยู่ในดัชนีดาวโจนส์มานาน 25 ปี ขณะที่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นอินเทลดิ่งลง 2.93%

หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (Marriott International) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ ร่วงลง 1.59% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2567 เนื่องจากอุปสงค์การเดินทางที่อ่อนแอลงในสหรัฐฯ และจีน

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 6-7 พ.ย.นี้ ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้ รวมทั้งให้น้ำหนักกว่า 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.

 

แหล่งที่มา : UOBAM

แหล่งข้อมูล: บล.เว็ลธ์ เมจิก