SCBAM : Morning Update ประจำวันที่ 18 เมษายน 2567
Morning Update by SCBAM
Major Equity Indices: S&P500-0.58%, NASDAQ-1.15%, Russell2000-0.99%
STOXX600+0.06%, Nikkei225-1.32%, HSCEI+0.10%, CSI300+1.55%, KOSPI-0.98%, SET-2.11%, VNINDEX-1.86%, TH Reits-0.68%, SG Reits-1.35%
Sector Return: Utilities-XLU(+2.09%), Consumer Staples-XLP(+0.37%), Financial-XLF(+0.25%), Consumer Discretionary-XLY(-0.49%), Real Estate-XLRE(-0.83%), Technology-XLK(-1.44%)
USBY2Y 4.93%, USBY10Y 4.59%, WTI $82.69/bbl, Gold $2,361.02/oz, DXY 105.95
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อนำโดยกลุ่ม semiconductor หลัง ASML รายงานงบออกมาผสมผสานมีทั้งดีและแย่กว่าคาด ส่ง sentiment ลบกระทบกลุ่ม semi ในสหรัฐฯ ขณะที่ US Bond Yield ที่เริ่มกลับมาชะลอตัวลงช่วยหนุนกลุ่ม Utilities ปรับบวกโดดเด่นสวนทางดัชนีรวม
งบกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ทยอยรายงานตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่าง Goldman Sachs, Charles Schwab, Morgan Stanley, Bank of America, Bank of NY Mellon ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดทั้งรายได้และกำไร
งบกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่สหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดช่วยหนุนมุมมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสมมุติฐานหลักของเราที่ว่าแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งจะเป็นแรงหนุนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ติดตามการรายงานงบกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นต่อไปโดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่จะเริ่มทยอยรายงานในช่วงปลายเดือนนี้
ดัชนีเงินเฟ้อยูโรโซนเดือนมี.ค. ออกมาตามคาดและชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหากเทียบเป็นรายปี ทั้งเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) (2.4% vs 2.4% vs 2.6%YoY) และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) (2.9% vs 2.9% vs 3.1%YoY)
หากเทียบเป็นรายเดือนแม้ออกมาตามคาดแต่เห็นการเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) (0.8% vs 0.8% vs 0.6%MoM) และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) (1.1% vs 1.1% vs 0.7%MoM)
รายงานเงินเฟ้อที่ออกมาผสมผสานประกอบกับโอกาสที่ Fed จะเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป อาจกดดันผู้กำหนดนโยบายฝั่งยูโรโซนให้ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่าจะเริ่มกลับทิศนโยบายในช่วงกลางปีตามเดิมหรือไม่
ASML รายงานยอดขายต่ำคาดแต่กำไรดีกว่าคาด ทั้งนี้ Guidance จากทางบริษัทยังมีมุมมองเชิงบวก สำหรับปีนี้ซึ่งถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของบริษัท คาดว่ารายได้ทั้งปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อน โดยครึ่งปีหลังจะเติบโตแข็งแกร่งกว่าครึ่งปีแรกสอดคล้องกับอุตสาหกรรมโดยรวมที่ฟื้นตัวและจะกลับมาเติบโตแข็งแกร่งในปี 2025 ส่วนอุปสรรคสำคัญคือมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ให้แก่จีนทำให้ลดโอกาสในการขายเครื่อง EUV เพิ่มเติม
รายงานดังกล่าวถือว่าค่อนข้างผสมผสานมีทั้งบวกและลบซึ่งอาจกดดันต่อราคาหุ้นระยะสั้น แต่สำหรับแนวโน้มการเติบโตระยะกลาง-ยาวยังดูดีจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม semiconductor โดยรวมและความต้องการด้าน AI ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง
LVMH รายงานงบ 1Q24 ยอดขายรวมขยายตัว +3%YoY ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดยมียอดขายเติบโตสูงในญี่ปุ่น (+32%) แต่หดตัวในภูมิภาคเอเชียโดยรวม (-6%) ส่วนสหรัฐฯและยุโรปค่อนข้างทรงตัว โดยกลุ่มธุรกิจที่ทำได้ดีได้แก่
กลุ่ม Fashion & Leather Goods (+2%YoY), กลุ่ม Perfumes & Cosmetics (+7%YoY) และกลุ่ม Selective Retailing โดยเฉพาะ Sephora (+11%YoY) ที่เติบโตจากการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ทำได้ไม่ดีนักได้แก่กลุ่ม Wines & Spirits (-12%YoY) และกลุ่ม Watches & Jewelry (-2%YoY) สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อรายได้บริษัทในอนาคตได้แก่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
รายงานงบโดยรวมของ LVMH มีทั้งจุดบวกลบสลับกันไป แต่บริษัทก็ยังมีความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจระยะยาว ผ่านการพัฒนาแบรนด์และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในแง่ประเภทของธุรกิจและภูมิศาสตร์
ตลาดหุ้นเอเชียเมื่อวานปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ตาม sentiment ลบจากฝั่งสหรัฐฯ และดัชนี Dollar ที่แข็งค่า
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลงแรง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล
Outlook & Implication
ระยะสั้น ความผันผวนของตลาดหุ้นโลกเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง, การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ , แรงขายทำกำไรเนื่องจากตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน เป็นต้น ในเชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้จำกัด อาจพักเงินในกองทุน Money Market (SCBMONEY), ตราสารหนี้ระยะสั้น (SCBSFFPLUS), ตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้ผลบวกจากการแข็งค่าของ USD (SCBFST) ส่วนหุ้นต่างประเทศ เน้นกองทุนที่มีความผันผวนต่ำ (SCBLEQ) คาดมีโอกาสปรับตัวลงในระดับที่น้อยกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม นอกจากนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ (SCBGOLD) และน้ำมัน (SCBOIL) ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ เนื่องจากราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น หากสถานการณ์พลิกกลับ ก็อาจทำให้ราคามีความผันผวนได้เช่นกัน
ระยะกลาง-ยาว เราเชื่อว่า หลังผ่านพ้นช่วงของความผันผวนและการปรับฐานในระยะสั้น ตลาดหุ้นโลกยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจรอจังหวะเพื่อเข้าทยอยสะสม ตามธีมการลงทุนหลักของเราในปีนี้ ทั้ง AI Spreading, Asia in Focus และ Attractive Yield Play
แหล่งที่มา : SCBAM
แหล่งข้อมูล : บล.เว็ลธ์ เมจิก